เนื่องในวโรกาสอันทรงเกียรติวันคล้ายวันประสูติของท่านอิม่ามอาลี ริฎอ(อ.) ฝ่ายการต่างประเทศของฮะรัมท่านหญิงฟาติมะฮ์มะอฺศูมะฮ์(ซ.ล.) ได้จัดให้มีการสัมภาษณ์พิเศษกับสตรีชีอะห์ชาวไทยคนหนึ่ง ผู้ที่ได้รับอินายัต ความเมตตากรุณาและกิรอมัตอันยิ่งใหญ่จากท่านอิม่ามริฎอ(อ.)

ก่อนอื่นช่วยกรุณาแนะนำตัวเองให้เรารู้จักคุณได้มั้ยคะ

             อัสลามมุอะลัยกุมค่ะ ชื่อ​ ตัสนีม​ อะลี​ นะคะ​ เป็นคนเชื้อชาติไทย​ เกิดที่​จ.เชียงราย​ ภาคเหนือของประเทศ​ไทย​ ที่บ้านเป็นคนไทยพุทธ​ค่ะ​ พ่อแม่นับถือศาสนาพุทธ​ พอเกิดมาก็นับถือ​ศาสนาพุทธ​ตามพ่อแม่​ ในหมู่บ้านไม่มีใครนับถือศาสนาอิสลาม​เลยทำให้ไม่รู้​จักอิสลามแม้แต่น้อย

คุณช่วยเล่าเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของคุณให้เราฟัง

               ตั้งแต่เด็ก​จนโต​รับรู้เรื่องศาสนาอิสลามจากครูที่โรงเรียน​ ท่านเป็นครูสอนวิชาพุทธศาสนา​และศาสนาต่างๆของโลก ครู​พูดถึงศาสนาอิสลาม​แค่​ 3 อย่างคือ

1.ศาสนา​อิสลาม​มี​พระเจ้าคือ”พระอัลเลาะห์”

2.ศาสนาอิสลาม​ไม่กินหมู

3.ศาสนาอิสลาม​ผู้ชายมีภรรยาได้ 4​คน

           ณ​ ตอนนั้น​บอกกับตัวเองเลยว่า​จะไม่มีแฟนที่นับถืออิสลามเด็ดขาด เพราะรู้สึกว่าศาสนาอิสลาม​ช่างไม่ยุติธรรม​กับผู้หญิง​เสียเลย แต่ด้วยความเมตตาของพระองค์ทำให้ฉันได้มาพบกับสามี​และสามีได้อยู่ในมัซฮับสุนนีย์ ซึ่งตอนนั้น​ฉันก็คิด​ว่า​ จริงๆอิสลามก็ไม่ค่อยต่างกับศาสนาพุทธ​มากเท่าไหร่นัก​ เพียงแค่ไม่กินหมู​ การแต่งตัวก็เหมือนพุทธ​ ไม่ต้องคลุมผ้า​ฮิญาบ จนวันหนึ่ง​มีเพื่อนสามี(อิบรอฮีมชา)เค้าได้มาช่วยให้เราทำพิธี​ “อักด์”เพื่อให้ถูกต้อง​ตามศาสนาและในวันนั้น​เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันได้รู้ว่าเอกองค์อัลเลาะห์ คือ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและฉันได้กล่าวรับ​ “กาลีมะฮ์ชาฮาดะห์” ฉันได้เรียนรู้​และยอมรับว่าพระองค์​คือผู้สร้างแต่ในใจของฉันยังครุ่นคิด​ และยังสงสัยในพระองค์ในหลายๆเรื่อง(เพราะยังมัซฮับสุนนีย์​อยู่)​และหลังจากนั้น​ ฉันก็ได้แต่งงานกับสามี ใช้ชีวิตแบบมัซฮับสุนนีย์​ ไม่ได้ศึกษา​เรียนรู้เรื่องศาสนา เพียงแค่เชื่อว่ามีพระเจ้า​ และไม่ทานอาหารที่มีหมูผสมแต่การแต่งกายก็ยังเป็นเหมือนศาสนา​พุทธ​ทั่วไป


ในทัศนะของคุณอะไรคือสิ่งที่สวยงามที่สุดในมัซฮับชีอะห์

               หลังจากที่ฉันแต่งงานเข้ารับอิสลาม (มัซฮับสุนนีย์)เป็นเวลา​ 3​ ปี​ ฉันมีลูกชาย​ 1​ คน​ และตอนนั้นฉันได้ตั้งท้องลูก​คนที่ 2​ ฉันได้เกิดภาวะครรภ์​เป็นพิษทำให้เกิดภาวะจะแท้ง​ในขณะลูกในท้อง​ 7​ เดือน ฉันนอนที่โรงพยาบาลเป็นเวลา​ 7​ วัน​ และในตอนกลางคืนหมอแจ้งว่า​เด็กในท้องหัวใจหยุดเต้น​จะทำการขูดมดลูกในตอนเช้า​ ให้เตรียมตัว​  พอหมอพูดจบมันเหมือนทุกอย่างดับลง​ หัวใจของฉันแทบสลาย เพราะไม่คิดว่า​จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ลูกในท้องของฉันตายเหรอ!!! ฉันไม่อยากเชื่อเลย!!! ฉันเสียใจอย่างมาก​ สามีของฉันปลอบใจจนฉันหลับไป พอฉันตื่นขึ้นมา​สามีได้พาเพื่อน(อิบรอฮีมชา)มาหาฉัน​ พูดคุยกันสักพัก​ เพื่อนสามี(อิบรอฮีมชา)ได้ยื่นน้ำมาให้ฉัน​ 1​ แก้ว​ แล้วบอกกับฉันว่า นี่คือน้ำที่มี​ “ดุอาฮ์นาดีอาลี” ถูกเป่าลงไปในน้ำแล้ว เป็นดุอาของท่านอิหม่ามอาลี​ “มัซฮับชีอะห์” ก่อนดื่มน้ำ​ให้ขอจากอิหม่ามอาลี​ ขอด้วยหัวใจขอด้วยความเชื่อ​ แล้วอิหม่ามจะช่วยเหลือ ฉันรับน้ำแก้วนั้นมา​ แล้ว​คิดในใจว่า…ยาอัลลอฮฺ์​ หากฉันดื่มน้ำแก้วนี้แล้ว​ทำให้ลูกในท้องกลับมา ฉันจะรับมัซฮับชีอะห์​โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ แล้วฉันก็ดื่มน้ำแก้วนั้นจนหมด พอรุ่งเช้า​พยาบาลมารับตัวฉัน เพื่อจะพาฉันไปขูดมดลูก แต่พยาบาลต้องตกใจกันทั้งแผนก​ พยาบาลรีบไปเรียกหมอที่ดูแลฉัน​ ด้วยเหตุคือเด็กในท้องหัวใจเต้นเป็นปกติ หมอได้ตรวจเชคอีกครั้ง​ ทุกอย่างเป็นปกติทั้งหมดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น​ ลูกในท้องของฉันดิ้นไปมา ถึงตอนนี้​ฉันแทบบรรยายไม่ถูกเลย​ มาชาอัลลอฮฺ​ๆๆพอหลังจากกลับจากโรงพยาบาล​ สามีของฉันก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับมัซฮับชีอะห์​จากเพื่อน(อิบรอฮีมชา)และได้มาถ่ายทอดความรู้​ความเข้าใจให้แก่ฉันทุกวันและฉันก็ได้รับมัซฮับชีอะห์และได้ศึกษา​เรียนรู้​ ปฏิบัติการดำเนินชีวิต​ และเรียกตัวเองว่าชีอะห์​ได้อย่างเต็มปากและภาคภูมิใจ….เอกองค์อัลเลาะห์ทำให้ฉันรู้จักกับ​ “ความรักที่ยิ่งใหญ่” ที่พระองค์​ทรงให้แก่ฉัน…. และในมัซฮับชีอะห์​ สิ่งที่สวยงามที่สุดคือ​ “อะลุ้ลบัยต์”เพราะอะลุ้ลบัยต์แสดงให้ฉันได้เห็นว่า”การมอบความรักที่สวยงามให้กับพระองค์” นั้นเป็นเช่นไร

หลังจากที่คุณใด้เข้ารับอิสลามแล้วได้พบเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคอะไรบ้างคะ

         ในช่วงที่ยังไม่ได้รับมัซฮับชีอะห์​ไม่มีปัญหาใดๆ แต่พอรับมัซฮับชีอะห์​ทางบ้านสามีเป็นมัซฮับสุนนีย์แต่งตัวไม่เรียบร้อยเท่าไหร่​ บ้านสามีเปิดร้านอาหารฉันไปช่วยงานที่ร้านทุกวัน ท่านเห็นฉันแต่งตัวเรียบร้อยและสวมถุงเท้า​ ละหมาดครบ เค้าบังคับให้ฉันดึงแขนเสื้อขึ้นเวลาขายข้าวและบังคับให้ฉันถอดถุงเท้าเวลาล้างจานที่หน้าร้าน ท่านบอกว่า​ที่ฉันแต่งตัวเรียบร้อยเพราะสามีบังคับ สามีไม่อยู่ก็ถอดสิ… แต่ฉันไม่ทำตาม​และไม่เคยเอ่ยคำพูดไม่ดีหรือเถียงท่านแม้แต่คำเดียว​ ฉันอดทนและยิ้ม ในบางครั้งโดนว่าแรง​ ฉันก็ร้องไห้ออกมาตรงนั้น​และก็ทำงานต่อไป​ เพราะฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำคืออะไร​ เพื่ออะไรฉันไม่คิดโทษท่าน​ เพราะท่านไม่รู้ถึงทำแบบนั้น ฉันคิดอย่างเดียวคือ​ ฉันต้องทำสิ่งที่ถูกให้ท่านมองเห็นจนถึงทุกวันนี้​ แม่สามีของฉันรักฉันเหมือนลูกท่านคนหนึ่งถึงแม้ว่าท่านจะยังไม่รับมัซฮับชีอะห์แต่ท่านก็ไม่เคยตำหนิหรือแสดงอาการว่ารังเกียจการเป็นมัซฮับของฉันอีกเลย ส่วนทางบ้านของฉันที่นับถือศาสนาพุทธในช่วงแรกพวกท่านก็ไม่มีปัญหา​ แต่พอฉันรับมัซฮับชีอะห์พ่อแม่เริ่มไม่พอใจที่ฉันแต่งกายตามแบบอิสลามท่านบอกว่า​ เวลากลับมาหาพวกท่าน​ สามีไม่ได้มาด้วย ถอดผ้าไม่ได้เหรอ​ พ่อแม่​อายคนอื่น​ ญาติพี่น้องก็ไม่ชอบ ฉันเลยแสดงความรักต่อพวกท่านให้มากขึ้น แสดงความรักต่อญาติพี่น้อง​ ฉันแสดงให้พวกท่านเห็นว่าการที่ลูกแต่งกายไม่เหมือนเดิม​ ไม่ได้แปลว่า​ไม่รักแต่กลับกัน​ คือลูกแสดงความรักให้พวกท่านชื่นใจมากกว่าเดิมเสียอีก​ ทุกวันนี้พ่อแม่ของฉันไม่มีปัญหา​ใดๆและฉันยังมีโอกาส​ได้เอ่ยขื่อ​ อะฮ์ลุ้นบัย​ต์ ให้พวกท่านได้ฟังและได้รับรู้ ​หวังในใจอยากให้พวกท่านได้รับทางนำเช่นเดียวกับฉัน… อินชา​อัลลอฮฺ​

ช่วยเล่าเรื่องความฝันของคุณและเหตุการณ์ต่างๆหลังจากนั้นให้เราฟังหน่อยค่ะ

             คุณ​เคยคิดถึงใครบางคน​ที่คุณไม่เคยเห็นหน้าไม่เคยได้พบเจอสัมผัส​ แต่คุณ​กลับคิดถึงใครคนนั้นเพียงแค่รู้จักชื่อและคำบอกเล่าจากหลายคนๆว่าใครคนนั้นเป็นคนที่ใจดีมากเหลือเกินหรือเปล่าคะ?สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตัวฉัน​ ฉันได้คิดถึงคนแปลกหน้าคนนั้น​ และในที่สุดจากแค่ความคิดถึงนั้นทำให้ฉัน​เกิด “ความรัก” ใครคนนั้นขึ้นมามากมาย โอ้ ยาอิหม่ามริฎอ (อ.) จากคำสัญญานั้นที่มีให้ฉัน “แล้วเราจะได้พบกัน”

                   ค่ำคืนวันวิลาดัตของท่านอิหม่ามริฎอ ในตอนนั้นฉันยอมรับว่าฉันไม่ค่อยรู้จักท่านอิหม่ามริฎอ(อ.)สักเท่าไหร่​ รู้แค่ว่าฮะรัมของท่านอยุ่​ที่​ประเทศ​อิหร่านและท่านเป็นอิหม่ามคนที่​ 8 เพียงเท่านั้น ก่อนเข้างาน​ฉันก็ได้กล่าว​สลามไปยังท่านริหม่ามริฎอและได้เข้าไปในงาน​ ภายในงาน​ทุกคนที่มาร่วมงาน ต่างมีความสุข​ ทุกคนทำกิจกรรม​ต่างๆร่วมกันอย่างสนุกสนาน​ บรรยากาศในงาน​เต็มไปด้วย​ความสุขและในช่วง​ที่​ผู้รู้ได้ทำการบรรยายถึงท่านอิหม่ามริฎอ(อ.)​ มันทำให้ฉันได้ตั้งใจฟังอย่างมากเพราะฉันอยากรู้​จักท่านอิหม่ามริฎอ​ให้มากกว่านี้และในตอนที่นั่งฟังนั้น​มันทำให้ฉันถึงกับหลั่งน้ำตาเพียงเพราะรับรู้​ถึงความเมตตาของท่านอิหม่ามริฎอ(อ.)ที่มีต่อกวางตัวหนึ่ง​ และ​ ด้วยคำพูดของผู้รู้ที่ว่า… ขนาดกวางตัวหนึ่งอิหม่ามยังช่วยเหลือเลย​นับประสาอะไรกับเราที่เป็นคน…พอจบงานมัจลิสของท่านอิหม่ามริฎอ​ เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ​ ฉันและครอบครัวได้กลับถึงบ้าน พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย​ฉันก็ได้เข้านอน ​ขณะที่นอน​ในหัวใจของฉัน​ก็ได้นึกถึง​ “อิหม่ามริฎอ”มันมีความรู้สึกคิดถึง​ คิดถึงมาก​ ทั้งๆที่​ในตอนนั้นฉันยังไม่ค่อยรู้จักท่านมากเท่าไหร่เลย ขณะที่กำลังคิดอยู่​นั้น  ฉันก็ได้พูดกับสามี​ขึ้นมาว่า….งานวิลาดัตของอิหม่ามริฎอในคืนนี้…ขนาดเราอยู่ประเทศ​ไทย เรายังมีความสุขเลยไม่รู้ว่าที่อิหร่านจะเป็นยังไง อยากไปเจอท่านบ้างจัง!! แล้วฉันก็นอนหลับไป…พร้อมน้ำตาแห่งความคิดถึง และในค่ำคืนนั้น ฉันก็ได้ฝัน…ในความฝันเป็นสีขาว ขาวเหมือนกลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้า ฉันได้ยืนอยู่ที่นั่น​ ซึ่งฉันไม่รู้​ว่าฉันอยู่ที่ไหน ในใจก็กลัวมากขณะที่ยืนอยู่ ฉันรู้สึกได้ว่า​ มีคนหรือบางอย่างผ่านร่างกายของฉัน​ ลักษณะ​เหมือนคนที่เดินสวนกันไปมาแต่ฉันมองไม่เห็นสิ่งใด ได้เพียงสัมผัสถึงสิ่งเหล่านั้นฉันรู้สึกกลัวมาก เพราะไม่รู้ว่า​จะไปทางไหนดี ฉันตัดสินใจจะก้าวขาไปข้างหน้า ในขณะที่กำลังจะก้าวขาเดินไปข้างหน้านั้น อยู่ๆก็มีเสียงพูดขึ้นมา…เป็นเสียงพูดที่ดังก้องในความฝันเป็นเสียงที่ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ฉันได้ยินอย่างชัดเจนมาก…ในเสียงนั้น ได้บอกกับฉันว่า”จงกลับไปหาคนที่เขารักเจ้าที่สุดก่อน”“แล้วเราจะได้พบกัน”ในตอนนั้นพอได้ยินเสียง ฉันได้นั่งทรุดลงและร้องไห้และคิดในใจ​ ใครกัน??​ ให้ไปหาใคร??แล้วเสียงก็ดังอีกครั้งว่าจงกลับไปหาครอบครัวที่เจ้ารัก“แ ล้ ว เ ร า จ ะไ ด้ พ บ กัน”ในความฝันฉันรู้ทันทีว่าคนที่พูดกับฉันคือใครโอ้ ” ยาอิหม่ามริฎอ “แล้วฉันก็ตื่นจากความฝันมาพร้อมน้ำตาที่นองเต็มหน้าในตอนก่อนเข้าเวลาซุบฮี ฉันไม่ได้กลับไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านเกิดของฉันเป็นเวลา​นาน​ 3​ ปี​ เนื่องจากเงินที่เรามี​แค่พอใช้ชีวิตในแต่ละวันเท่านั้น​ แต่ฉันจะโทรศัพท์​คุยกับพวกท่านอยู่​เสมอ​ เพราะฉันคิดถึง​พวกท่านและรู้​ว่าท่านทั้งสองก็คิดถึงฉันเช่นกัน พอเข้าเวลาละหมาดซุบฮี ทำละหมาดเสร็จฉันได้เล่าความฝันให้สามีฟัง สามีฉัน​ ได้บอกทันทีว่าเราจะไปหาพ่อกับแม่กันขอเวลาช่วยกันเก็บเงินสักพัก เผื่อจะได้พาพวกท่านไปเที่ยว ไปซื้อของให้พวกท่านบ้าง พอเก็บเงินได้เราก็จะไปหาพ่อแม่ทันทีเรากำหนดวันเดินทางไว้​ พอใกล้ถึงกำหนดวันที่จะเดินทางไปหาพ่อแม่  ก็ได้เกิดบททดสอบ​กับครอบครัวของฉัน เงินที่ครอบครัวช่วยกันเก็บมาเพื่อจะไปหาพ่อแม่​กลับโดนเพื่อนโกง ฉันและสามีต้องเอาเงินทั้งหมดที่มีไปใช้หนี้แทน ฉันและสามีไม่มีเงินเก็บแล้วเหลือแค่เงินที่ใช้กินในแต่ละวัน ฉันและสามีเลยตัดสินใจ​ใช้เงินทั้งหมดที่มีกลับไปหาพ่อแม่ เพราะเชื่อในพระองค์และคำสัญญาของท่านอิหม่ามริฎอ วันที่ไปหาพ่อกับแม่​ สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือรอยยิ้มของคนที่ฉันรักทั้งสองคน​ ท่านยืนรอฉันอยู่ที่หน้าบ้าน อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น​ที่ฉันไม่ได้สัมผัสมาเป็นเวลา​ 3​ ปี ความสุขที่มันส่งผ่านมาทางการกอดนี้​ช่างวิเศษเหลือเกิน นี้แหละคือสิ่งที่อิหม่ามริฎอ​บอกให้ฉันมา มาชาอัลลอฮฺหลังจากไปหาพ่อแม่แล้ว​ ฉันกับสามีก็ทำงานดำเนินชีวิตกันต่อไป และในวันที่ครอบครัวของฉันกำลังจะหมดหนทางที่จะต่อสู้กับโลกดุนยานี้ ปัญหาได้ถาโถมเข้ามาอย่างหนักในวันที่เคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางพายุมีแค่สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ การรำพึงรำพันร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์….ยาอัลลอฮ์ให้ทุกสิ่งได้ผ่านพ้นไปได้ด้วยเถิดดด… และแล้ววันนี้ก็มาถึง โดยที่ไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน มีข้อความจากซัยยิดท่านหนึ่ง​เชิญมาทานข้าวบอกแค่ว่า​ มีแขกจากฮะรัมอิหม่ามริฎอมาที่บ้าน ครอบครัวของฉันก็ไปตามคำเชิญ ในงาน​แขกที่มาจากฮะรัมอิหม่ามก็ได้ขึ้นบรรยาย แต่พอท่านพูดจบ​ท่านบอกว่า​ มีธงจากฮะรัมมาให้พวกเราได้สัมผัสด้วยนะ​ เป็นธงที่มีบารากัตอย่างมากเสมือนเป็นตัวแทนของท่านอิหม่ามริฎอ​ คนที่ได้สัมผัสเปรียบดั่งเช่นเราได้ไปที่ฮะรัม ฉันกลั้นน้ำตาไม่อยู่​แล้ว​ คิดเพียงแค่ว่า… ยาอิหม่ามริฎอคำที่ท่านอิหม่ามริฎอได้สัญญาไว้ว่า” แล้วเราจะได้พบกัน”ท่านมาหาฉันถึงเมืองไทย ท่านมาให้ฉันได้ใกล้ชิด ท่านได้มาตามสัญญาที่ท่านให้กับฉันแล้ว​ มาชาอัลลอฮฺมันเป็นความสุขใจที่บรรยายไม่หมดจริงๆ​ อัลฮั​ม​ดุ​​ลิลาห์และในคืนนั้นก่อนกลับบ้าน​ ซัยยิดะห์(เบบุชรอฮ์)ได้บอกให้ฉันและครอบครัวอยู่รอก่อน​มีเรื่องจะคุยด้วย พอทุกคนกลับไปหมดแล้ว​ ซัยยิดะห์ท่านนั้น(เบบุซรอฮ์)ก็ได้บอกว่า​ ทางฮะรัมขอสัมภาษณ์​ เรื่องที่ฉันเป็นคนพุทธมาเข้ารับอิสลาม​ โดยที่ทุกคนไม่รู้​เลยว่า​จะมีเหตุการณ์เรื่องราวความฝันของฉันอยู่ด้วยและวันนั้นฉันเลยได้มีโอกาส​ บอกให้กับทุกคนทราบ”เรื่องความฝันของฉันที่เกี่ยวกับอิหม่ามริฎอ” มาชาอัลลอฮฺ​

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ส่งผลอย่างไรกับชีวิตของคุณบ้างคะ

            จากวันนั้นจนถึงวันนี้ มีเรื่องราวมากมายเข้ามาในชีวิตของฉัน เหตุการณ์​วันนั้น​ทำให้ฉันมั่นใจไปอีกขั้นว่า​ ถึงแม้ว่าเราจะนับถือศาสนา​อะไรมาก่อนเราจะอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้​ ทุกคนคือคนที่พระองค์​รักการแสวงหาความใกล้ชิดพระองค์​ ไม่ได้ยาก แค่หัวใจของเรามีความรัก​และเชื่อมั่นในพระองค์เท่านั้น    ในความเป็นมนุษย์​พ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน พระองค์​ก็จะรักเรามากยิ่งกว่า​แน่นอนเพราะพระองค์​คือผู้สร้างตัวเราขึ้นมา

ขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคุณแม่เป็นอย่างใรบ้างคะ

           จากที่ได้เล่าไปบางส่วนตอนนี้​ พ่อแม่ของฉัน​ ท่านมีความสุขมากเพราะการที่ฉันเป็นชีอะห์​ มันทำให้ฉันรู้ว่าฉันควรทำดีกับพ่อแม่มากขนาดไหน​ ทำยังไงให้ท่านรักและฉันควรทำตัวยังไง​ให้ท่านวางใจและเชื่อใจว่าการที่ฉันเข้ารับอิสลามนั้นดีมากมายเหลือเกิน

หากดิฉันสามารถนำสาส์นหรือฮายัตของคุณส่งไปยังอิมามริฎอ(อ.)และน้องสาว(ซ.ล.)ผู้ทรงเกียรติของท่านได้ คุณมีสิ่งใดที่อยากจะขอจากท่านผู้ทรงเกียรติทั้งสองพระองค์คะ

            อินชา​อัลลอฮฺ…. ถ้าพอจะเป็นไปได้อยากได้รับเกียรติ​จากท่านทั้งสองอีก… อยากแบ่งปันประสบการณ์​อันแสนวิเศษ​นี้แก่ผู้คนที่ท่านประสงค์​ อยากให้รับรู้​เรื่องราวนี้เพื่อให้พวกเค้าได้มีกำลังใจ​และมีความหวังเฉกเช่นเดียวกันกับข้าพเจ้า…อินชา​อัลลอฮฺ​…. อยากบอกกับท่านทั้งสองว่าคำสัญญา​ที่เคยให้ไว้แก่ท่าน​ ที่หน้าซาเรี่ยะฮ์ของท่าน คำสัญญาที่เรามีต่อกัน​ จะรอวันนั้นอีกครั้ง​ อินชา​อัลลอฮฺ​

ในฐานะมุสลิมคนหนึ่ง คุณมีความรู้สึกอย่างใรบ้างคะ

            การเข้ารับอิสลามของฉัน​ไม่ได้เรียบง่าย กว่าจะได้กล่าวว่า.. ฉันคือมุสลิม..มันเต็มไปด้วยความยากลำบากและในวันนี้​ ฉันมีความภูมิใจ​ที่ฉันได้เป็นมุสลิมได้อยู่​ในหนทางของอะฮ์ลุ้ลเบต ได้ดำรง​ชีวิตโดยมีเป้าหมาย คือ โลกหน้า มันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว​ที่ฉันได้มาอยู่ตรงนี้เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดพระองค์​อัลเลาะห์

คุณมีสาส์นหรือคำพูดอะไรที่อยากจะส่งถึงเยาวชนหญิงสาวของเราบ้างมั้ยคะ

                  ฉันขอเล่าเรื่อง​ราวการแต่งกายตามหลักศาสนาของฉันครั้งแรก  หลังจากที่ฉันเข้ารับมัซฮับชีอะห์​แล้ว​ เหลือเพียงอย่างเดียวที่ฉันยังไม่ได้ปฏิบัติ​ นั่นก็คือการแต่งกายให้ถูกหลักศาสนา ในวันหนึ่งเพื่อนสามี(อิบรอฮีมชา)ได้พาเด็กสาวคนหนึ่งมาที่บ้านของฉัน(เธอมีนามว่า “ซัยหนับ”)​เป็นหลานของอิบรอฮีมชาเธอมาพร้อมการแต่งกายที่ถูกหลักการ​ สวยงาม ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม​ แววตาที่เป็นมิตร​ มองแล้วทำให้รู้เลยว่าเธองดงามจากข้างในจริงๆ พอเธอกล่าวสลามกับฉัน​ เธอก็ได้สวมกอดฉัน ฉันรับรู้​ถึงความรักที่เธอมีต่อตัวฉันโดยทันที…ในตอนนั้นฉันมีความสุขมาก​ และรู้สึกแปลกใจว่าทำไมคนที่ไม่เคยรู้​จักกัน​ “ถึงทำให้เรารักได้” เราได้นั่งคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของฉันและเธอ เธอได้สอนให้ฉันแต่งกายและคลุมผ้าฮิญาบ เธอคือผู้หญิงคนแรกในมัซฮับชีอะห์ที่ฉันรู้จักและเธอคนนี้​ ทำให้ฉันรู้ว่า…ผู้หญิงที่สวยอย่างแท้จริง คือ ผู้หญิง​ที่พร้อมจะส่งมอบสิ่งที่ดีงามในหนทางของพระองค์​แก่คนอื่นด้วยความจริงใจ